1. ต้อหินมุมเปิด (Primary open angle glaucoma) เป็นต้อหินที่มีลักษณะ ของมุมตาเหมือนคนปกติ แต่ไม่สามารถกระจายความดันลูกตาออกจากลูกตาได้อย่างเหมาะสม ทำให้เกิดความดันตาสูงและทำลายประสาทตา ผู้ป่วยมักไม่ทราบว่าเป็นต้อหิน แต่สายตาจะค่อย ๆ มัวลง อาจสังเกตการเห็นการเปลี่ยนแปลงในระยะเวลานานเป็นเดือนหรือปี 2. ต้อหินมุมปิด (Primary angle closure glaucoma) เป็นต้อหินที่พบในคนมีลักษณะมุมตาแคบ ทำให้ความดันตาไม่สามารถระบายออกไปได้ เกิดความดันตาสูงและไปทำลายประสาทตา แบ่งเป็น 2 ชนิด คือ ต้อหินชนิดเฉียบพลัน เกิดจากมุมตาที่แคบนำไปสู่ภาวะมุมตาปิดเฉียบพลัน ความดันลูกตาขึ้นสูงโดยทันทีทำให้ตามัวลงอย่างรวดเร็ว อาจเห็นแสงรุ้งรอบดวงไฟ มีอาการปวดตาอย่างรุนแรง ตาแดง ปวดศีรษะ มักไม่หายด้วยการรับประทานยาแก้ปวด ถ้าไม่รีบรักษาอาจทำใหสูญเสียการมองเห็นได้อย่างรวดเร็ว ต้อหินชนิดเรื้อรัง ความดันตาอาจขึ้นไม่สูงมาก มีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปจนมีมุมตาปิดเรื้อรัง ตาจะค่อย ๆ เห็นแคบหรือมัวลงทีละน้อย จนแทบไม่สังเกตเห็นความผิดปกติ จึงมักถูกปล่อยทิ้งไว้ จนประสาทตาเสียไปมาก ทำให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด จะเห็นได้ว่าความดันตาที่สูงเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดต้อหิน อย่างไรก็ตามยังมีต้อหินที่มีความดันตาไม่สูง (Normo-tension glaucoma) เป็นต้อหินที่คล้ายชนิดแรก แต่มีความดันตาปกติ เชื่อว่าเกิดจากปัจจัยอื่นที่ทำให้ขั้วประสาทตาหรือเส้นใยประสาทตาถูกทำลาย นอกจากนี้ยังมีต้อหินที่เป็นผลมาจากโรคอื่น ๆ เช่น ต้อกระจก ม่านตาอักเสบ การทานยาบางกลุ่ม อุบัติเหตุ ต้อหินโดยกำเนิด หรือ ต้อหินในเด็ก ซึ่งเกิดจากการพัฒนาการที่ผิดปกติตั้งแต่กำเนิด โดยการดำเนินโรค วิธีการดูแล หรือการพยากรณ์โรคก็อาจจะแตกต่างออกไป
ความผิดปกติของความดันภายในลูกตา เป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของภาวะต้อหิน ซึ่งมักต้องตรวจเสมอร่วมกับการตรวจดูขั้วประสาทตา ความดันตาที่สูงเกิดจากการคั่งของของเหลวภายในลูกตาที่ทำหน้าที่นำออกซิเจนและอาหารไปเลี้ยงเนื้อเยื่อบริเวณใกล้เคียง เมื่อของเหลวนี้ขาดสมดุลของอัตราการสร้างและอัตราไหลออกจากลูกตา ทำให้ความดันตาสูงขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อความดันตาสูงเป็นระยะเวลานาน จะไปกดประสาทตา ทำให้เลือดมาเลี้ยงที่ขั้วประสาทตาน้อยลง เป็นผลให้ประสาทตาประสาทตาเสื่อม ฝ่อตัวลง และขั้วประสาทตาโดนทำลาย ทำให้สูญเสียการมองเห็นได้ในที่สุด
อาจไม่มีอาการเลยในระยะแรก จนกระทั่งตามัวลงมาก เมื่อมาพบจักษุแพทย์ก็พบว่าโรคเป็นไปมากแล้ว โดยจะเริ่มสูญเสียลานสายตาบริเวณรอบนอกก่อนโดยการมองเห็นที่ตรงกลางยังดีอยู่ เช่น เห็นแสงแคบลง ถ้าปิดตาดูทีละข้างอาจเห็นจุดบอดบางส่วน ในที่แสงสลัวจะมองเห็นวัตถุไม่ชัดเหมือนเดิม เห็นแสงรุ้งรอบ ๆ ดวงไฟ และถ้าเป็นอยู่นานไม่ได้รับการรักษาลานสายตาแคบลงมากจนเห็นเหมือนมองผ่านอุโมงค์ (Tunnel vision) กรณีต้อหินเฉียบพลัน มีอาการปวดตารุนแรง ตามัวลง มองเห็นดวงไฟเป็นสีรุ้ง ตาแดงก่ำสู้แสงไม่ได้ อาจจะมีน้ำตาไหลร่วมด้วย มีอาการปวดศีรษะข้างเดียวกัน และอาจเป็นมากถึงคลื่นไส้อาจเจียน
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่เป็นต้อหินมีอายุมากกว่า 40 เเละพบมากในคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคต้อหิน โดยปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญ ได้เเก่ ประวัติการเจ็บป่วยของครอบครัว อายุ เชื้อชาติ ความดันตาที่สูง และคนที่มีขนาดขั้วประสาท(cupping) ตาโตจะมีความเสี่ยงมากกว่า เมื่อไหร่จึงควรตรวจต้อหิน– คนที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไปแนะนำควรตรวจสุขภาพดวงตาเพื่อคัดกรองต้อหินอย่างน้อยปีละครั้ง
– คนที่มีประวัติเสี่ยงเป็นต้อหิน หรือ มีคนในครอบครัวเป็นต้อหิน ควรตรวจตาอย่างละเอียดเป็นประจำทุกปี
– คนที่เป็นต้อหิน ควรมาติดตามอาการตามที่จักษุเเพทย์ที่ดูแลนัดตรวจอย่างสม่ำเสมอ
ผู้มารับบริการจะได้รับการตรวจประเมินความเสี่ยงภาวะต้อหิน ด้วยการตรวจที่มีมาตรฐาน ดังนี้ 1) การวัดความสามารถในการมองเห็นที่ดีที่สุด (Best VA) 2) การตรวจสุขภาพดวงตาส่วนหน้าโดยใช้ Slit-lamp เพื่อตรวจสุขภาพดวงตาตั้งแต่เปลือกตา ชั้นน้ำตา กระจกตา ความกว้างมุมตา ไปจนถึงเลนส์แก้วตา 3) การตรวจสุขภาพตาส่วนหลังโดยใช้กล้องถ่ายภาพจอประสาทตา (Digital fundus camera) เพื่อตรวจดูความผิดปกติของจอประสาทตา ประเมินขนาดของขั้วประสาทตา 4) การตรวจวัดความดันตา โดยใช้เครื่อง Tonometry เพื่อประเมินค่าความดันตา
ภาวะต้อหินเป็นโรคที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพราะเมื่อประสาทตาโดนทำลายไปแล้วจะสูญเสียถาวรไม่สามารถรักษาให้กลับมากปกติ แต่การรักษาที่ถูกต้องจะช่วยป้องกันไม่ให้ประสาทตาโดนทำลายมากขึ้นไปอีก ผู้ป่วยจะได้รับการรักษาเพื่อควบคุมความดันตาให้อยู่ในระดับที่ปลอดภัย สามารถทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับชนิด ความรุนแรงและอาการของโรค
1. การใช้ยา มีทั้งยาหยอด ยารับประทาน และยาฉีดเข้าเส้นเลือด เพื่อลดการผลิตของของเหลวภายในลูกตา หรือไปเพิ่มอัตราการไหลออกของของเหลวภายในลูกตา
2. เลเซอร์โดยเฉพาะในต้อหินมุมปิดหรือมุมเปิดบางชนิด วิธีการรักษาแตกต่างกันไปตามข้อบ่งชี้
3. การผ่าตัด มักใช้กรณีที่รักษาด้วย 2 วิธีแรกไม่ได้ผล สามารถทำได้หลายวิธี เพื่อควบคุมความดันตานอกจากนี้ผู้ป่วยต้องไปพบจักษุแพทย์เป็นระยะ ๆ เพื่อดูความดันตา และลานสายตารวมทั้งการตรวจอื่น ๆ เพื่อปรับการรักษาให้เหมาะสม
เมื่อมีภาวะต้อหินเเล้ว สิ่งสำคัญคือ ความเข้าใจภาวะของโรค ซึ่งศูนย์ตาศรไทยจะคอยดูเเล ตรวจติดตามอาการของภาวะต้อหิน สอนการปฏิบัติตัว การดูเเลตัวเองอย่างถูกต้อง พูดคุยให้ผู้ป่วยเข้าใจและคอยให้คำเเนะนำวิธีการต่าง ๆ ในการเลือกใช้อุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกในการมองเห็น เช่น ช่วยเเก้ไขการมองเห็นให้ชัดขึ้นด้วยแว่นสายตา การใส่แว่นกันเเดดเพื่อลดผลกระทบจากแสงสะท้อนและช่วยเพิ่มคอนทราสท์ การแนะนำการปรับตัวในชีวิตประจำวัน เช่น เมื่อมีการสูญเสียลานสายตารอบนอกจะทำให้เกิดอุบัติเหตุได้ง่าย การแนะนำให้เลือกใช้อุปกรณ์ที่มีสีที่ดูเด่นชัดขึ้นมา ช่วยเพิ่มความสามารถในการสังเกตเห็นสิ่งของด้านข้างได้ง่ายขึ้น ทำให้ลดการเกิดอุบัติเหตุและช่วยให้ใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างราบรื่น ส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตน้อยที่สุด เมื่อพบว่าเรามีความเสี่ยงเป็นต้อหินต้องทำอย่างไรเมื่อพบว่าตัวเองมีความเสี่ยงที่จะมีภาวะต้อหิน อย่าเพิ่งตระหนก แต่แนะนำให้รับการตรวจอื่น ๆ เพิ่มเติม เพื่อให้จักษุเเพทย์นำข้อมูลต่าง ๆ มาประกอบการวินิจฉัยได้อย่างเเม่นยำ ดังนั้น หากได้รับการตรวจโดยละเอียดแล้ว ในขณะนั้นยังไม่เป็นโรคต้อหิน แต่อาจมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคต้อหินได้ จึงควรได้รับการตรวจสุขภาพตาและตรวจคัดกรองต้อหินเป็นประจำทุกปีการตรวจคัดกรองและวินิจฉัยโรคต้อหิน หากได้รับการวินิจฉัยตั้งแต่เนิ่น ๆ การรักษาอาจช่วยชะลอหรือป้องกันการสูญเสียการมองเห็นได้